พระพุทธชินราช รุ่นฉลองครบรอบ 70 ปี พุทธสมาคม

การหล่อแบบแยกชิ้นส่วนแบบ 3 กษัตริย์ 

พ.ศ.2563-2564 หล่อพระพุทธชินราชขนาดพระบูชาแบบ 3 กษัตริย์ วาระฉลองครบรอบ 70 ปี พุทธสมาคมจังหวัดพิษณุโลก พุทธาภิเษก เมษายน พ.ศ.2564 งานหล่อพระพุทธชินราช 3 กษัตริย์หน้าตัก 6.5 นิ้ว และ 9.5 นิ้ว

  • โลหะสีขาว หล่อด้วยบรอนซ์ขาว
  • โลหะสีแดง หล่อด้วยบรอนซ์แดง
  • โลหะสีเหลือง หล่อด้วยซิลิก้อนบรอนซ์วรรณะเหลือง
  • ขั้นตอนการสร้าง พระพุทธชินราชชุดหน้าตัก 9 นิ้ว รุ่นฉลอง 70 ปีพุทธสมาคมพิษณุโลก
    1. ขึ้นแกนดิน
    2. ถอดพิมพ์ปูน
    3. กรอกขี้ผึ้งหนา
    4. แต่งรายละเอียด
    5. เทียบซุ้มเรือนแก้ว หลอดขาซุ้มเรือนแก้ว
    • เรือนแก้วทรงสูง เรือนชดเชยมุมมองทำ Perspective
    • เขาควายกว้าง 3 ส่วน เท่าชายของผ้าหน้าเข่า
    1. ดิ่งระดับ ปรับรายละเอียดตามหลักการทำพระพุทธชินราช
    • หน้าตัก 4 ส่วน
    • ยอดซุ้ม 4 ส่วน
    • องค์ 4 ส่วน
    • ยักษ์ 1 / 4 ส่วน
    • มกร = เขาควาย = ใบยอดซุ้มเรือนแก้ว
    1. ขนาดแนวระนาบ
    • เท้า = หน้า 1 ส่วน
    • เศียรยอดเม็ดพระศก = ลำตัว

หุ่นปูนพระพุทธชินราชชุดหน้าตัก 9.5 นิ้ว รุ่นฉลอง 70 ปีพุทธสมาคมพิษณุโลก ที่เกิดจากการถอดพิมพ์หล่อปูนเพื่อปรับแต่งหลายครั้งทำให้องค์พระมีหน้าตักที่ใหญ่ขึ้น

คู่มือ

การแยกชิ้นส่วนพระพุทธชินราช หน้าตัก 9 นิ้ว

 

วิธีนี้มีความยุ่งยาก แต่มีความคลาดเคลื่อนน้อย เนื่องการการถ่ายแม่แบบจากปูน มีความแม่นยำสูง

  1. ถอดพิมพ์พระต้นแบบเต็มองค์
  2. กรอกชิ้นส่วนหัว ลอกพิมพ์ออกนำชิ้นส่วนงานออกมาตกแต่ง ทำเดือยรอยต่อให้เรียบร้อย ทาวาสลีนเพื่อให้รอยต่อของชิ้นงานสามารถแยกออกจากกันได้
  3. ประกอบพิมพ์ เทปูนส่วนองค์ติดกับส่วนหัว
  4. กรอกแต่งทีละชิ้น ให้เขากันได้พอดี

          ผู้วิจัยได้บันทึกบันทึกวิธีการทำต้นแบบตัวอย่างจากการทำพระพุทธชินราชขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว รุ่น “ครบรอบ 70 ปี พุทธสมาคม จัวหวัดพิษณุโลก” ปี พ.ศ.2564-2565

 

ภาพ 3.14 ชิ้นส่วนจากการตัดแบ่งโดยใช้เครื่องมือ โดยผู้วิจัย 22 พฤษภาคม 2568

 

 

 

 

บันทึกวิธีการทำต้นแบบโดยวิธีการปริ้นเต็มองค์แล้วนำมาตัดแบ่งชิ้นส่วนด้วยมือ ตัวอย่างจากการทำพระพุทธชินราชขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว รุ่น “ยกฐานะ” ปี พ.ศ.2566-2567

           มีการจัดสร้างพระพุทธชินราช หล่อแบบแยกชิ้นส่วนเป็นโลหะ 6 สี โดยมีวิธีการสแกนย่อจากองค์ต้นแบบ 20 นิ้ว ปี พ.ศ.2561 โดยปริ้นเต็มองค์แล้วนำมาตัดแบ่งชิ้นส่วนเองโดย

  • ปรับเส้น โครงสร้าง และรายละเอียดใหม่ทั้งหมด
  • ตัดต่อขัดแต่งยืดส่วนใหม่ เป็นศุภลักษณะมีส่วนตกคิ้ว ทำให้องค์พระมีทรวดทรงสูง ผอมบางลง ความลึกของรายละเอียดของเส้นต่างๆ ลดน้อยลง
  • รื้อเปลี่ยนเม็ดผม ปรับแต่งกะโหลกใหม่ เนื่องจาก ณ ขณะนั้นเทคโนโลยีเครื่องปริ้นละเอียดมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ต่างกับปัจจุบันที่มีความละเอียดสูงขึ้นแต่ค่าใช้จ่ายถูกลงมาก

           วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายไม่สูง ค่อนข้างแม่นยำ ทำได้ตามใจต้องการ แต่ใช้เวลามาก เนื่องจากต้องทำการมาร์คตำแหน่งและระยะของแต่ละชิ้นส่วนให้แม่ยำ เจาะตัดชิ้นส่วนต้องทำการประกอบ ประกบแบบให้สนิท ต้องใช้เวลามากพอสมควร

 

ขั้นตอนการทำเพื่อให้ดูอิ่มสมบูรณ์ขึ้นโดย

  • ถอดขัดแม่พิมพ์ปูนทำให้พิมพ์ขยายออก
  • พอกโป๊วในขั้นตอนการขัดต้นแบบปูนทำให้มีการเพิ่มเนื้อ

ภาพ 3.15 ต้นนแบบพระพุทธชินราชหน้าตัก 9 นิ้วด้านหน้าและด้านหลัง

        แสงกลางคืนช่วยให้เห็นเงาชัดมากขึ้นเนื่องจากไม่มีแสงธรรมชาติเข้ามารบกวน

        เป็นวิธีที่ใช้กันตามปรกติ แต่ในงานวิจัยนี้ใช้เทคนิคสแกนปริ้นย่อช่วย ดังนั้นวิธีนี้จึงบันทึกไว้เป็นวิธีการดั้งเดิม และมีการปรับปรุงเทคนิควิธีการบ้างตามสมควร เพื่อใช้ในการแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนางานให้มีความทันสมัยทันเหตุการณ์ในปัจจุบัน

ยอดเกศ หรือพระเกศมาลา

  • ปั้นสดด้วยขี้ผึ้ง
  • ถอดพิมพ์ปูนแต่งหน้ากลับเพื่อให้แสงเงามีความคมชัดขึ้น
  • ถ่ายปูนแต่งหน้าตรง
  • ถอดแบบพิมพ์ผ่าด้วยยางใสสำหรับฉีดเทียน
  • ติดช่อหล่อโบราณ หรือหล่อด้วยปูนจิวเวลรี่ระบบเหวี่ยงหรือระบบดูดสุญญากาศได้ ตามสะดวก
  •  

ภาพ 3.16 หล่อเกศด้วยระบบดูดสุญญากาศ เพื่อความคมชัด ไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งมาก

พระศก

                   เม็ดพระศกไรหน้าแถวแรก 21 เม็ด        เม็ดพระศกไรหน้าถึงโคนจุฬาธาตุ 6 เม็ด

                   เม็ดพระศกที่จุฬาธาตุ 3 เม็ด

                   งานปั้น มีความคมชัด แต่เสียเวลามากกว่า

                   งานแกะบล็อกกดปั้ม สะดวกรวดเร็ว มีความนุ่มนวล และง่ายในการทำงาน แต่ต้องใช้ความชำนาญในการแกะบล๊อกพิมพ์กลับ

ภาพ 3.17 บล๊อกกดเม็ดพระศก

ตัวปลิงสำหรับปั้นเม็ดพระศก

  • พระสุโขทัยตัวปลิงห้วท้ายเท่าๆ กัน
  • พระเชียงแสนหัวใหญ่ก้นเล็ก(ใช้ตัวเดียวกับพระพุทธชินราชแต่กลับกัน)
  • พระพุทธชินราชห้วเล็กก้นใหญ่

การขนดเม็ดพระศก

  • พระสุโขทัยจะเริ่มขนดจากข้างล่างขึ้นบนวางลงลักษณะงานปั้นปูนสด ทำให้ตัวขดผมป่องอ้วน มีร่องลึกเต็มเม็ด
  • พระเชียงแสนเริ่มขนดจากยอดบนโดยใช้ตัวปลิงด้านโต ม้วนลงล่างซึ่งเป็นตัวปลิงด้านเล็ก ทำให้เม็ดพระศกดูอวบอิ่มอ้วนเม็ดโต เม็ดพระศกวางแน่นเนื่องจากแรงม้วนกด
  • พระพุทธชินราชเริ่มขนดจากยอดบนโดยใช้ตัวปลิงด้านเล็ก ม้วนลงล่างซึ่งเป็นตัวปลิงด้านใหญ่ ทำให้เม็ดพระศกดูอวบอิ่มลักษณะเป็นจอมสามเหลี่ยมชั้นบนเล็ก ชั้นล่างอ้วนเม็ดโต เม็ดพระศกวางแน่นเนื่องจากแรงม้วนกดเช่นเดียวกับพระเชียงแสน

 

ภาพ 3.17 การทำตัวปลิงและการขนดเม็ดพระศก

การติดเรียงเม็ดพระศก

พระพุทธชินราชสุโขทัยยุคปลาย 21 เม็ด

ข้อสังเกต ยุคแรกๆ เม็ดผมจะน้อย เม็ดใหญ่ ยุคหลังๆ เม็ดจะเล็กลง จำนวนมากขึ้น

         ยุคแรกๆ ได้รับอิทธิพลมาจากลังกาวงศ์ ต่อมายุคสมัยสุโขทัยพุทธศิลป์ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยส่งผลให้เม็ดพระศกถูกประตาม ครั้นมาถึงยุคหลังๆ เช่นอยุธยา อู่ทอง ใช้เทคนิคแม่พิมพ์กดจึงทำให้เม็ดมีขนาดเล็กลง หรืออาจเป็นการแก้ปัญหาช่วยให้งานหล่อพระมีความบางขึ้น เนื่องจากถ้าเม็ดพระศกใหญ่และตันแล้ว จะมีผลทำให้ดูดและดึงส่วนอื่นขาด ทำให้ต้องปรับเม็ดพระศกให้มีขนาดเล็กลง

        สำหรับต้นแบบที่โกลนศีรษะยังมิได้ติดเม็ดพระศก สามารถใช้กาวลาเท็กซ์ทาเพื่อติดเม็ดพระศกครั้งละประมาณ 10-20 เม็ด โดยขณะที่กาวยังไม่แห้งสามารถขยับแนวเม็ดผมให้เรียงสวยงามได้อย่างง่ายดาย สำหรับพระพุทธชินราชมีวิธีการเรียงติดเม็ดพระศกดังนี้

  1. วางเกศที่ยอดจุฬาธาตุ ตั้งระดับ วางต้นแบบ ขีดแนวดิ่งตรงกลาง ขีดเส้นแนวไรพระศก เลาะขอบหู ถึงด้านหลังวนรอบท้ายทอยโดยเมื่อมองด้านข้างให้แนวเส้นดูต่อเนื่องรับกับแนวไรพระศกด้านหน้า
  2. ติดเรียงเม็ดพระศกแนวกลางแนวดิ่งจากไรพระศกขึ้นไปจนถึงยอดจุฬาธาตุรวม 9 เม็ด
  3. ติดเรียงเม็ดพระศกแถวล่างรอบจุฬาธาตุ
  4. ติดเรียงเม็ดพระศกแถวแรกข้างละ รวมได้ 21 เม็ด
  5. ติดเรียงเม็ดพระศกแถว 2,3,4 ทั้งสองด้าน
  6. ติดเรียงเม็ดพระศกแถว 5,6 เลาะหลังหูลงยาวไปจบกันด้านหลังตามแนวเส้นที่ขีดร่างไว้
  7. ตั้งแต่แถวที่ 7 เป็นต้นไปให้ติดจากด้านล่างท้ายทอย โดยติดไล่ด้านซ้ายขวาเท่าๆ กัน ติดไล่เรียงขึ้นด้านบนจนจบชิดขอบเม็ดพระศกรอบฐานจุฬาธาตุ (หากมีเม็ดเรียงไม่ลงตัวบ้างสามารถขยับให้แนวเรียงตัวสวยงาม
  8. ติดตามแนวไล่ขึ้นจนกระทั่งเต็มทั้งศีรษะ
  9. ติดเรียงเม็ดพระศกแถว 2,3 แนวนอนรอบจุฬาธาตุ

ภาพ 3.18 ด้านหลังของเศียร หลังติดเม็ดพระศก

           เมื่อกะโหลกสมบูรณ์ แนวการเรียงเม็ดผมจะมีความเป็นระเบียบ เรียงเป็นแถวแนวเดียวกันสวยงาม หากแนวติดเม็ดผมมีความคลาดเคลื่อนไม่สวยงาม จำเป็นต้องเลาะเม็ดผมออกทำการพอกหรือขูดระดับหนังหัวให้มีความต่อเนื่องกัน

  • ปั้นสดด้วยขี้ผึ้งประมาณ 10-20 เม็ด
  • ถอดแบบพิมพ์หน้าเดียวด้วยยางซิลิโคนขาว
  • กรอกด้วยขี้ผึ้งร้อน เพื่อติดเศียรต้นแบบ
  • หรือแกะบล็อกเม็ดผมพิมพ์กลับด้วยตะกั่วลวดเชื่อม แล้วนำมาจิ้มกดขี้ผึ้งจะได้ความสะดวกลวดเร็วมากขึ้น

ภาพ 3.19 ถอดพิมพ์แบบแบ่ง ส่วนเศียร ด้วยยางซิลิโคนขาว สำหรับให้ช่างรูปกรอกขี้ผึ้ง

การเตรียมทอยส่วนศีรษะ

  1. เนื่องจากส่วนเศียรมีขนาดใหญ่ แต่ส่วนลำคอมีขนาดเล็ก ขณะอยู่ในขั้นตอนการเผาหุ่น การเทหล่อ มีการขยับหุ่นเคลื่อนไหว มีความเสี่ยงแตกหักเสียหาย จึงจำเป็นต้องมีทอยเพื่อเป็นตัวค้ำยันให้แน่นมีความมั่นคง โดยการตอกทอยซึ่งปรกติใช้ตะปูขนาด 1-1.5 นิ้วเสียบตามร่องเม็ดผม
  2. เมื่อหล่องานเสร็จจะต้องถอนตะปูทอยออก สำหรับงานปิดทองสามารถใช้ Epoxy หรือสีโป๊วอุดปิดร่องรอยได้ แต่สำหรับงาน 3 กษัตริย์ หรืองานโลหะโชว์ผิวจะเกิดตำหนิไม่สวยงาม และเนื่องจากบริเวณเม็ดพระศกพื้นที่แคบ มีรายละเอียดที่เล็กมาก เป็นงานที่เสี่ยงต่อความเสีย

ภาพ 3.20 หล่อเม็ดพระศกต่อก้านชนวนไว้สำหรับใช้ทำทอย แทนตะปูที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน

  1. ข้อดีของการหล่อแยกฝังเทียนคือ ไม่จำเป็นต้องใช้ทอย สามารถใช้ชิ้นงานโลหะที่หล่อแล้วเป็นตัวค้ำยันได้
  2. วิธีการเดิม เป็นการมาร์คเพื่อเสียบทอยตะปู
  3. การแก้ไข โดย หล่อเม็ดพระศกมีแกนทำเป็นทอย หรือเลาะเม็ตผมตรงที่จะใช้ตะปูทำทอยแบบเดิม เสียบทอยก่อนหล่อ เมื่อหล่อแล้วถอนตะปูแล้วใช้สว่านเจาะขยายรูเพื่อตอกใส่เม็ดผม แต่วิธีการนี้จะยุ่งยาก และดูไม่ค่อยกลมกลืน สามารถใช้กับพระที่มีสีโลหะเดียวกันกับทอยได้ แต่หากเป็นพระปิดทอง หรือพระชุบกะไหล่ทองไม่เป็นปัญหาเพราะสามารถปิดทับให้กลมกลืนได้
  4.  

ภาพ 3.21 ติดเม็ดพระศก แล้วนำเม็ดพระศึกตำแหน่งที่ต้องการติดทอยออก

 

ชนิดของทอย เนื่องจากทอยมีหน้าที่ค้ำยันใส้ในกับชั้นนอกของหุ่นให้มีสภาพคงเดิม ไม่โยกไม่คลอน หรือภาษาช่างว่าไม่ให้ใส้ล้ม ซึ่งจะเป็นสาเหตุทำให้งานขาดเสียหายเนื่องจากถ้าใส้ล้มแล้วจะเบียดช่องว่างที่เป็นเนื้องาน ทำให้ชิ้นงานเสียหาย ดังนั้นทอยจึงต้องแข็งแรง สามารถทนไฟ ทนอุณหภูมิได้มากกว่าอุณหภูมิเผาหุ่น ที่ปลอดภัยคือควรมีจุดหลอมไม่น้อยกว่า 900-950 องศา

  1. โบราณใช้ตะปูสังฆวานร เป็นตะปูเหล็กตีขึ้นรูป 4 เหลี่ยมปลายแหลม
  2. ปัจจุบันใช้ตะปูขนาดและความยาวตามขนาดพระ ถ้าพระบูชาใช้ขนาดตะปู 1-1.5 นิ้ว ยาว 1-1.5 นิ้ว
  3. พระขนาดใหญ่ขึ้นใช้เหล็กกลมประมาณ 2 หุน
  4. ลวดสแตนเลส ซึ่งมีคุณสมบัติทนความร้อนสูงและไม่เป็นสนิม แต่ต้นทุนสูง

 

อุณาโลม

  1. แกะบล็อกเหล็ก ปั้มโลหะเป็นชิ้นงาน แล้วฝังประดับพลอย ซึ่งการแกะบล็อกปั๊มจะมีต้นทุนสูง แต่งานปั้มมีต้นทุนต่ำและรวดเร็วกว่าวิธีหล่อ
  2. หรือทำเป็นแบบต้นฉบับ ติดช่อถอดแบบฉีดเทียนด้วยยางซิลิโคนใส หล่อด้วยระบบดูดสุญญากาศ สามารถใช้พลอย Swarovski หล่อฝังได้ สามารถทนความร้อนได้สูง เนื่องจากมีรายละเอียดที่เล็กมาก โลหะที่ใช้หล่อฝังต้องสามารถทนความร้อนได้ไม่ละลายก่อนหุ่นสุก เพื่อความปลอดภัยและความสวยงาม หรือจากหล่ออุณาโลมฝังพลอย
  1. ทำการชุบกะไหล่ แล้วนำมาเจาะติดพระนลาฏ จะดีสวยงามกว่าหล่อฝังในตัว เนื่องจากมีความเล็กและบาง และต้องการให้มีสีสันสวยงามด้วย

รูป 3.22 ฝังพลอยชิ้นงานอุณาโลม

  1. ชุบกะไหล่ทองหรือปิดทองเพื่อความสวยงาม แต่งานชุบกระไหล่ทองจะติดแน่นทนนานกว่างานปิดทองซึ่งหลุดร่อนง่ายกว่า
  2. ติดอุณาโลมตามตำแหน่งที่มาร์คไว้ ด้วยกาวEpoxy หรือรักสมุก

 

ดวงพระเนตร รายละเอียดตาพระพุทธชินราช

  1. ปั้นสดด้วย Epoxy เพื่อรักษารูปทรง
  2. หากตัดด้วยไฟล์ 3D ให้ทำเตปเปอร์เป็นเดือยสำหรับใส่ให้ตรงร่องเบ้า
  3. ถอดแบบฉีดเทียนด้วยยางซิลิโคนใส
  4. หล่อด้วยระบบดูดสุญญากาศ เนื่องจากมีรายละเอียดที่เล็กมาก
  5. ใช้หล่อฝังติดนัยตาพระ ใช้เสมือนทอย หรือสามารถเจียร์ปรับแต่งใส่ทีหลังได้ หล่อฝังมีประโยชน์สะดวก แต่มีปัญหาหากแต่งงานขี้ผึ้งไม่ดีก่อนหล่อ การขัดแต่งหลังขึ้นตอนการหล่อแล้ว อาจทำได้ยากเนื่องจากมีรายละเอียดที่เล็กมาก

รูป 3.23 ดวงพระเนตรหล่อโลหะ

เศียร มือ เท้า เป็นส่วนที่ใช้โลหะหล่อสีเดียวกัน

วิธีการโดย หล่อเศียรที่มีมือยาวติด ก่อนนำไปติดกับตัวเพื่อหล่อตัวสวม มีปัญหาคือ มีความยุ่งยากในการทำสลักเพิ่ม มีข้อดีคือ ต้นทุนต่ำ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ

  • แต่งส่วนรอยต่อให้สามารถสวมกับส่วนเศียร ส่วนมือ ส่วนเท้า และส่วนฐานได้พอดี
  • มือต้นแบบขยายด้านข้างรอยตัวประมาณ 3-4% โดยไม่ต้องขยายด้านยาว เพราะมือเป็นชิ้นงานตันเมื่อฉีด กรอก และหล่อแล้วจะมีความหดตัวด้านข้างมากกว่าด้านยาว ทำให้ดูนิ้วมือเรียวลีบ จึงต้องมีการขยายเพื่อชดเชยการหดตัว
  • ถอดแบบพิมพ์ผ่าด้วยยางซิลิโคนขาว
  • หล่อแบบโบราณด้วยวิธีการทำหุ่นแบบใส่กระบอก เนื่องจากเป็นรูปทรงที่สามารถใส่กระบอกได้

ภาพ 3.24 แยกชิ้นส่วนเศียรกับตัว

ภาพ 3.25 รอยต่อของชิ้นส่วนที่แยกชิ้น ยังมีความห่างไม่พอดี จากความหดตัวของงานปริ้น

ภาพ 3.26 การโป๊วขัดรอยต่อให้สนิทด้วยอีพ๊อกซี่ หรือยิบซั่ม

ภาพ 3.27 อะไหล่เท้า หล่อด้วยปูนหล่อจิวเวลรี่ ระบบหล่อสุญญากาศ

จีวร หรือส่วนองค์พระ

  1. แต่งส่วนรอยต่อให้สามารถสวมกับส่วนเศียร ส่วนมือ ส่วนเท้า และส่วนฐานได้พอดี
  2. ถอดแบบพิมพ์ผ่าด้วยยางซิลิโคนขาว
  3. หล่อแบบโบราณโดย
    • ใช้เทคนิคงานหล่อแบบเซรามิกเชลจะได้งานมีความคมชัดแต่ใช้เวลาและต้นทุนสูง
    • ใช้เทคนิคงานหล่อหุ่นปูน สะดวกรวดเร็ว ความคมชัดน้อยลง แต่สามารถขัดแต่งได้
    • ใช้เทคนิคงานหล่อหุ่นดินไทย โดยดินในเป็นดินไทย ส่วนหุ้มนอกด้วยสูตรปูน หรือสูตรเซรามิกเชล

ภาพ 3.28 หล่อองค์ต้นแบบปูน เพื่อขัดผิวตึง

ฐาน

  1. ปั้นต้นแบบโครงสร้างด้วยขี้ผึ้ง
  2. ถอดแบบถ่ายปูน เพื่อขัดแต่งให้มีความเรียบร้อยคมชัด
  3. ติดลวดลายที่แกะต้นแบบจากขี้ผึ้ง หรือจากหินสบู่
  4. ถอดแบบด้วยยางซิลิโคนขาวแบบผ่า
  5. หล่อแบบโบราณโดยสามารถทำลักษณะเช่นเดียวกับส่วนองค์พระ
    1. ใช้เทคนิคงานหล่อแบบเซรามิกเชลจะได้งานมีความคมชัด แต่ใช้เวลา และต้นทุนสุง
    2. ใช้เทคนิคงานหล่อหุ่นปูน สะดวกรวดเร็ว ความคมชัดน้อยลง แต่สามารถขัดแต่งได้
    3. ใช้เทคนิคงานหล่อหุ่นดินไทย โดยดินในเป็นดินไทย ส่วนหุ้มนอกด้วยสูตรปูน หรือสูตรเซรามิกเชล

ภาพ 3.29 อบต้นแบบปูนให้แห้งที่อุณหภูมิ 60 องศา C เวลา 6-8 ชั่วโมง

          เพื่อให้ปูนแห้ง สามารถใช้กระดาษทรายขัดได้ ขณะขัดจะเป็นผงฝุ่นไม่ติดกระดาษทราย สามารถโป๊วอุดด้วยยิปซั่มได้ดี

 

สูตรผสมยิปซั่ม

                   สัดส่วนยิปซั่ม + น้ำ ให้มีความเหนียวหนึบ ประมาณเดียวกับการผสมสีโป๊วฝ้ายิปซั่ม

หากต้องการให้มีความแข็งและสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น ใช้ยิปซั่ม + ปูนปลาสเตอร์+ ดินสอพอง

โดย

  1. ยิปซั่มมีความละเอียด แต่แห้งช้า
  2. ปูนปลาสเตอร์ช่วยให้แห้งเร็ว แต่มีความแข็ง
  3. ดินสอพองช่วยให้ส่วนผสมมีเนื้อแน่นและขัดง่ายขึ้น

ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 25 องศา อากาศไม่ร้อน ประมาณ 3-7 วัน

อบที่อุณหภูมิ 40-50 องศา ใช้เวลา 12-24 ขั่วโมง

อบที่อุณหภูมิ 50-60 ใช้เวลา 6-8 ชั่วโมง

อบที่อุณหภูมิ 60-70 ใช้เวลา 4-6 ชั่วโมง

ถ้ามากกว่านี้มีความเสี่ยงทำให้ชิ้นงานเกิดความเสียหาย เนื่องจากน้ำในแบบปูนจะคลายตัวระเหยเร็วขึ้น และหากหลงลืมทิ้งไว้นานเกิน ต้นแบบจะแห้งกรอบเกิดการแตกหักเสียหาย

ซุ้มเรือนแก้ว

  1. ส่วนยอดย่อแบบจากต้นฉบับซึ่งแกะแบบด้วยไม้
  2. ส่วนยอด ทำการถ่ายปูน แต่งแบบให้คมขัดขึ้น แยกทำพิมพ์ผ่าประกบด้วยยางซิลิโคนขาว สำหรับกรอกขึ้ผึ้งสูตรร้อน (80/20 หรือ 80/10)
  3. รักษาแนวดิ่งให้ได้ตรงกลาง
  4. ประกอบองค์ให้รักษาระยะช่องไฟรอบองค์พระให้เท่าๆ กัน เพื่อความสวยงามให้มีความห่างจากองค์ประมาณ 2 มิลลิเมตร เพื่อชดเชยการหดตัว
  5. ระดับยอดเขาควายจะตรงแนวฐานโมลี(จุไรธาตุ)
  6. ส่วนมกรปั้นแบบใหม่ด้วยขี้ผึ้ง
  7. ส่วนมกร แยกทำพิมพ์ฉีดเทียนผ่าประกบด้วยยางซิลิโคนขาว เพื่อความคมชัด และความแข็งแรงของแบบเทียนสำหรับหล่อ
  • หล่อแบบโบราณด้วยวิธีการทำหุ่นแบบใส่กระบอก เนื่องจากเป็นรูปทรงที่สามารถใส่กระบอกได้
  • ระดับยอดหงอนของมกรจะตรงแนวยอดพระถันขององค์พระ
  • แนวริมตัวมกรจะอยู่ในกรอบพื้นที่หน้าตัก ไม่เกินเข่า

ภาพ 3.30 แยกชิ้นส่วนยอดซุ้มเรือนแก้ว

ข้อดีของการหล่อแยกชิ้นส่วนยอดกับชิ้นส่วนมกร

  1. ชิ้นส่วนทุกชิ้นมีความสมบูรณ์ ลดการดูดหดตัวของชิ้นงาน เนื่องจากชิ้นงานมีความหนา
  2. ลดความพรุน การมีรอยร้าว รอยแตกหัก
  3. ลดขนาดของหุ่น สามารถเพิ่มปริมาณงานหล่อได้
  4. ลดความเสียหายของชิ้นงาน สามารถแยกทำแยกหล่อได้ มีความสะดวก
  5. ลดเวลาการแต่งรอยต่อบริเวณกลางตัวเรือนมกร
  6. ลดความแข็งของโลหะเนื่องจากไม่มีแนวเชื่อมแข็งกลางตัวเรือนมกร สามารถเคาะดัดปรับแต่งซุ้มได้ง่าย

ข้อสังเกตุ ส่วนของขามกรถึงปลายหงอน มีความสูง เท่ากับส่วนเขาควาย เท่ากับส่วนของใบยอดซุ้มเรือนแก้ว

ท้าวอาฬวกยักษ์, ท้าวเวชสุวรรณ

  • ปั้นสดด้วยขี้ผึ้ง
  • หล่อต้นแบบด้วยระบบดูดสุญญากาศ เพื่อความคมชัด ไม่ฝ่อ
  • ถอดพิมพ์ผ่าด้วยยางซิลิโคนใส่
  • หล่อโลหะด้วยระบบหล่อดูดสุญญากาศ

 

ภาพ 3.31 ต้นแบบท้าวเวชสุวรรณ และต้นแบบท้าวอาฬวกยักษ์ ปั้นด้วยขี้ผึ้ง

 

ภาพ 3.32 ถอดพิมพ์แบบด้วยยางซิลิโคนขาว

 

ภาพ 3.33 หล่อต้นแบบด้วยระบบหล่อดูดสุญญากาศ

           งานหล่อตันมีการดูดและรูพรุนเป็นโพรง แก้ไขปัญหาโดยการเติมทุ่นเพื่อชดเชยการเสียหาย หรือฉีดเทียนให้บางก่อน แล้วกรอกขี้ผึ้งอุ่นเพื่อเพิ่มความหนาของชิ้นงาน โดยทำรูเทขี้ผึ้งออกให้ใหญ่ขึ้น เพื่อความสะดวกในการทำงาน

ระบบหล่อโบราณสามารถหล่อกลวงได้โดยการกรอกขี้ผึ้งบาง แต่การเก็บรายละเอียดให้คมขัดมีข้อจำกัด และเสียเวลาในการทำงานมากกว่า

  1. ซุ้มเรือนแก้ว นมอกเลา เครื่องหมายตราต่างๆ
  • ปั้นแกะต้นแบบด้วยขี้ผึ้ง
  • สามารถติดที่ฐานหล่อพร้อมฐาน หรือหล่อแยกได้ด้วยวิธีการหล่อแบบติดช่อลงกระบอกได้ ตามสะดวก

การย่อขยาย หาสัดส่วนทอง

Shopping Cart
Scroll to Top