การหล่อแบบแยกชิ้นส่วนแบบ 3 กษัตริย์
พ.ศ.2563-2564 หล่อพระพุทธชินราชขนาดพระบูชาแบบ 3 กษัตริย์ วาระฉลองครบรอบ 70 ปี พุทธสมาคมจังหวัดพิษณุโลก พุทธาภิเษก เมษายน พ.ศ.2564 งานหล่อพระพุทธชินราช 3 กษัตริย์หน้าตัก 6.5 นิ้ว และ 9.5 นิ้ว

- โลหะสีขาว หล่อด้วยบรอนซ์ขาว
- โลหะสีแดง หล่อด้วยบรอนซ์แดง
- โลหะสีเหลือง หล่อด้วยซิลิก้อนบรอนซ์วรรณะเหลือง

- ขั้นตอนการสร้าง พระพุทธชินราชชุดหน้าตัก 9 นิ้ว รุ่นฉลอง 70 ปีพุทธสมาคมพิษณุโลก
- ขึ้นแกนดิน
- ถอดพิมพ์ปูน
- กรอกขี้ผึ้งหนา
- แต่งรายละเอียด
- เทียบซุ้มเรือนแก้ว หลอดขาซุ้มเรือนแก้ว
- เรือนแก้วทรงสูง เรือนชดเชยมุมมองทำ Perspective
- เขาควายกว้าง 3 ส่วน เท่าชายของผ้าหน้าเข่า
- ดิ่งระดับ ปรับรายละเอียดตามหลักการทำพระพุทธชินราช
- หน้าตัก 4 ส่วน
- ยอดซุ้ม 4 ส่วน
- องค์ 4 ส่วน
- ยักษ์ 1 / 4 ส่วน
- มกร = เขาควาย = ใบยอดซุ้มเรือนแก้ว
- ขนาดแนวระนาบ
- เท้า = หน้า 1 ส่วน
- เศียรยอดเม็ดพระศก = ลำตัว

หุ่นปูนพระพุทธชินราชชุดหน้าตัก 9.5 นิ้ว รุ่นฉลอง 70 ปีพุทธสมาคมพิษณุโลก ที่เกิดจากการถอดพิมพ์หล่อปูนเพื่อปรับแต่งหลายครั้งทำให้องค์พระมีหน้าตักที่ใหญ่ขึ้น
คู่มือ
การแยกชิ้นส่วนพระพุทธชินราช หน้าตัก 9 นิ้ว
วิธีนี้มีความยุ่งยาก แต่มีความคลาดเคลื่อนน้อย เนื่องการการถ่ายแม่แบบจากปูน มีความแม่นยำสูง
- ถอดพิมพ์พระต้นแบบเต็มองค์
- กรอกชิ้นส่วนหัว ลอกพิมพ์ออกนำชิ้นส่วนงานออกมาตกแต่ง ทำเดือยรอยต่อให้เรียบร้อย ทาวาสลีนเพื่อให้รอยต่อของชิ้นงานสามารถแยกออกจากกันได้
- ประกอบพิมพ์ เทปูนส่วนองค์ติดกับส่วนหัว
- กรอกแต่งทีละชิ้น ให้เขากันได้พอดี
ผู้วิจัยได้บันทึกบันทึกวิธีการทำต้นแบบตัวอย่างจากการทำพระพุทธชินราชขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว รุ่น “ครบรอบ 70 ปี พุทธสมาคม จัวหวัดพิษณุโลก” ปี พ.ศ.2564-2565
ภาพ 3.14 ชิ้นส่วนจากการตัดแบ่งโดยใช้เครื่องมือ โดยผู้วิจัย 22 พฤษภาคม 2568
บันทึกวิธีการทำต้นแบบโดยวิธีการปริ้นเต็มองค์แล้วนำมาตัดแบ่งชิ้นส่วนด้วยมือ ตัวอย่างจากการทำพระพุทธชินราชขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว รุ่น “ยกฐานะ” ปี พ.ศ.2566-2567
มีการจัดสร้างพระพุทธชินราช หล่อแบบแยกชิ้นส่วนเป็นโลหะ 6 สี โดยมีวิธีการสแกนย่อจากองค์ต้นแบบ 20 นิ้ว ปี พ.ศ.2561 โดยปริ้นเต็มองค์แล้วนำมาตัดแบ่งชิ้นส่วนเองโดย
- ปรับเส้น โครงสร้าง และรายละเอียดใหม่ทั้งหมด
- ตัดต่อขัดแต่งยืดส่วนใหม่ เป็นศุภลักษณะมีส่วนตกคิ้ว ทำให้องค์พระมีทรวดทรงสูง ผอมบางลง ความลึกของรายละเอียดของเส้นต่างๆ ลดน้อยลง
- รื้อเปลี่ยนเม็ดผม ปรับแต่งกะโหลกใหม่ เนื่องจาก ณ ขณะนั้นเทคโนโลยีเครื่องปริ้นละเอียดมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ต่างกับปัจจุบันที่มีความละเอียดสูงขึ้นแต่ค่าใช้จ่ายถูกลงมาก
วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายไม่สูง ค่อนข้างแม่นยำ ทำได้ตามใจต้องการ แต่ใช้เวลามาก เนื่องจากต้องทำการมาร์คตำแหน่งและระยะของแต่ละชิ้นส่วนให้แม่ยำ เจาะตัดชิ้นส่วนต้องทำการประกอบ ประกบแบบให้สนิท ต้องใช้เวลามากพอสมควร
ขั้นตอนการทำเพื่อให้ดูอิ่มสมบูรณ์ขึ้นโดย
- ถอดขัดแม่พิมพ์ปูนทำให้พิมพ์ขยายออก
- พอกโป๊วในขั้นตอนการขัดต้นแบบปูนทำให้มีการเพิ่มเนื้อ
ภาพ 3.15 ต้นนแบบพระพุทธชินราชหน้าตัก 9 นิ้วด้านหน้าและด้านหลัง
แสงกลางคืนช่วยให้เห็นเงาชัดมากขึ้นเนื่องจากไม่มีแสงธรรมชาติเข้ามารบกวน
เป็นวิธีที่ใช้กันตามปรกติ แต่ในงานวิจัยนี้ใช้เทคนิคสแกนปริ้นย่อช่วย ดังนั้นวิธีนี้จึงบันทึกไว้เป็นวิธีการดั้งเดิม และมีการปรับปรุงเทคนิควิธีการบ้างตามสมควร เพื่อใช้ในการแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนางานให้มีความทันสมัยทันเหตุการณ์ในปัจจุบัน
ยอดเกศ หรือพระเกศมาลา
- ปั้นสดด้วยขี้ผึ้ง
- ถอดพิมพ์ปูนแต่งหน้ากลับเพื่อให้แสงเงามีความคมชัดขึ้น
- ถ่ายปูนแต่งหน้าตรง
- ถอดแบบพิมพ์ผ่าด้วยยางใสสำหรับฉีดเทียน
- ติดช่อหล่อโบราณ หรือหล่อด้วยปูนจิวเวลรี่ระบบเหวี่ยงหรือระบบดูดสุญญากาศได้ ตามสะดวก
ภาพ 3.16 หล่อเกศด้วยระบบดูดสุญญากาศ เพื่อความคมชัด ไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งมาก
พระศก
เม็ดพระศกไรหน้าแถวแรก 21 เม็ด เม็ดพระศกไรหน้าถึงโคนจุฬาธาตุ 6 เม็ด
เม็ดพระศกที่จุฬาธาตุ 3 เม็ด
งานปั้น มีความคมชัด แต่เสียเวลามากกว่า
งานแกะบล็อกกดปั้ม สะดวกรวดเร็ว มีความนุ่มนวล และง่ายในการทำงาน แต่ต้องใช้ความชำนาญในการแกะบล๊อกพิมพ์กลับ
ภาพ 3.17 บล๊อกกดเม็ดพระศก
ตัวปลิงสำหรับปั้นเม็ดพระศก
- พระสุโขทัยตัวปลิงห้วท้ายเท่าๆ กัน
- พระเชียงแสนหัวใหญ่ก้นเล็ก(ใช้ตัวเดียวกับพระพุทธชินราชแต่กลับกัน)
- พระพุทธชินราชห้วเล็กก้นใหญ่
การขนดเม็ดพระศก
- พระสุโขทัยจะเริ่มขนดจากข้างล่างขึ้นบนวางลงลักษณะงานปั้นปูนสด ทำให้ตัวขดผมป่องอ้วน มีร่องลึกเต็มเม็ด
- พระเชียงแสนเริ่มขนดจากยอดบนโดยใช้ตัวปลิงด้านโต ม้วนลงล่างซึ่งเป็นตัวปลิงด้านเล็ก ทำให้เม็ดพระศกดูอวบอิ่มอ้วนเม็ดโต เม็ดพระศกวางแน่นเนื่องจากแรงม้วนกด
- พระพุทธชินราชเริ่มขนดจากยอดบนโดยใช้ตัวปลิงด้านเล็ก ม้วนลงล่างซึ่งเป็นตัวปลิงด้านใหญ่ ทำให้เม็ดพระศกดูอวบอิ่มลักษณะเป็นจอมสามเหลี่ยมชั้นบนเล็ก ชั้นล่างอ้วนเม็ดโต เม็ดพระศกวางแน่นเนื่องจากแรงม้วนกดเช่นเดียวกับพระเชียงแสน
ภาพ 3.17 การทำตัวปลิงและการขนดเม็ดพระศก
การติดเรียงเม็ดพระศก
พระพุทธชินราชสุโขทัยยุคปลาย 21 เม็ด
ข้อสังเกต ยุคแรกๆ เม็ดผมจะน้อย เม็ดใหญ่ ยุคหลังๆ เม็ดจะเล็กลง จำนวนมากขึ้น
ยุคแรกๆ ได้รับอิทธิพลมาจากลังกาวงศ์ ต่อมายุคสมัยสุโขทัยพุทธศิลป์ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยส่งผลให้เม็ดพระศกถูกประตาม ครั้นมาถึงยุคหลังๆ เช่นอยุธยา อู่ทอง ใช้เทคนิคแม่พิมพ์กดจึงทำให้เม็ดมีขนาดเล็กลง หรืออาจเป็นการแก้ปัญหาช่วยให้งานหล่อพระมีความบางขึ้น เนื่องจากถ้าเม็ดพระศกใหญ่และตันแล้ว จะมีผลทำให้ดูดและดึงส่วนอื่นขาด ทำให้ต้องปรับเม็ดพระศกให้มีขนาดเล็กลง
สำหรับต้นแบบที่โกลนศีรษะยังมิได้ติดเม็ดพระศก สามารถใช้กาวลาเท็กซ์ทาเพื่อติดเม็ดพระศกครั้งละประมาณ 10-20 เม็ด โดยขณะที่กาวยังไม่แห้งสามารถขยับแนวเม็ดผมให้เรียงสวยงามได้อย่างง่ายดาย สำหรับพระพุทธชินราชมีวิธีการเรียงติดเม็ดพระศกดังนี้
- วางเกศที่ยอดจุฬาธาตุ ตั้งระดับ วางต้นแบบ ขีดแนวดิ่งตรงกลาง ขีดเส้นแนวไรพระศก เลาะขอบหู ถึงด้านหลังวนรอบท้ายทอยโดยเมื่อมองด้านข้างให้แนวเส้นดูต่อเนื่องรับกับแนวไรพระศกด้านหน้า
- ติดเรียงเม็ดพระศกแนวกลางแนวดิ่งจากไรพระศกขึ้นไปจนถึงยอดจุฬาธาตุรวม 9 เม็ด
- ติดเรียงเม็ดพระศกแถวล่างรอบจุฬาธาตุ
- ติดเรียงเม็ดพระศกแถวแรกข้างละ รวมได้ 21 เม็ด
- ติดเรียงเม็ดพระศกแถว 2,3,4 ทั้งสองด้าน
- ติดเรียงเม็ดพระศกแถว 5,6 เลาะหลังหูลงยาวไปจบกันด้านหลังตามแนวเส้นที่ขีดร่างไว้
- ตั้งแต่แถวที่ 7 เป็นต้นไปให้ติดจากด้านล่างท้ายทอย โดยติดไล่ด้านซ้ายขวาเท่าๆ กัน ติดไล่เรียงขึ้นด้านบนจนจบชิดขอบเม็ดพระศกรอบฐานจุฬาธาตุ (หากมีเม็ดเรียงไม่ลงตัวบ้างสามารถขยับให้แนวเรียงตัวสวยงาม
- ติดตามแนวไล่ขึ้นจนกระทั่งเต็มทั้งศีรษะ
- ติดเรียงเม็ดพระศกแถว 2,3 แนวนอนรอบจุฬาธาตุ
ภาพ 3.18 ด้านหลังของเศียร หลังติดเม็ดพระศก
เมื่อกะโหลกสมบูรณ์ แนวการเรียงเม็ดผมจะมีความเป็นระเบียบ เรียงเป็นแถวแนวเดียวกันสวยงาม หากแนวติดเม็ดผมมีความคลาดเคลื่อนไม่สวยงาม จำเป็นต้องเลาะเม็ดผมออกทำการพอกหรือขูดระดับหนังหัวให้มีความต่อเนื่องกัน
- ปั้นสดด้วยขี้ผึ้งประมาณ 10-20 เม็ด
- ถอดแบบพิมพ์หน้าเดียวด้วยยางซิลิโคนขาว
- กรอกด้วยขี้ผึ้งร้อน เพื่อติดเศียรต้นแบบ
- หรือแกะบล็อกเม็ดผมพิมพ์กลับด้วยตะกั่วลวดเชื่อม แล้วนำมาจิ้มกดขี้ผึ้งจะได้ความสะดวกลวดเร็วมากขึ้น
ภาพ 3.19 ถอดพิมพ์แบบแบ่ง ส่วนเศียร ด้วยยางซิลิโคนขาว สำหรับให้ช่างรูปกรอกขี้ผึ้ง
การเตรียมทอยส่วนศีรษะ
- เนื่องจากส่วนเศียรมีขนาดใหญ่ แต่ส่วนลำคอมีขนาดเล็ก ขณะอยู่ในขั้นตอนการเผาหุ่น การเทหล่อ มีการขยับหุ่นเคลื่อนไหว มีความเสี่ยงแตกหักเสียหาย จึงจำเป็นต้องมีทอยเพื่อเป็นตัวค้ำยันให้แน่นมีความมั่นคง โดยการตอกทอยซึ่งปรกติใช้ตะปูขนาด 1-1.5 นิ้วเสียบตามร่องเม็ดผม
- เมื่อหล่องานเสร็จจะต้องถอนตะปูทอยออก สำหรับงานปิดทองสามารถใช้ Epoxy หรือสีโป๊วอุดปิดร่องรอยได้ แต่สำหรับงาน 3 กษัตริย์ หรืองานโลหะโชว์ผิวจะเกิดตำหนิไม่สวยงาม และเนื่องจากบริเวณเม็ดพระศกพื้นที่แคบ มีรายละเอียดที่เล็กมาก เป็นงานที่เสี่ยงต่อความเสีย
ภาพ 3.20 หล่อเม็ดพระศกต่อก้านชนวนไว้สำหรับใช้ทำทอย แทนตะปูที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
- ข้อดีของการหล่อแยกฝังเทียนคือ ไม่จำเป็นต้องใช้ทอย สามารถใช้ชิ้นงานโลหะที่หล่อแล้วเป็นตัวค้ำยันได้
- วิธีการเดิม เป็นการมาร์คเพื่อเสียบทอยตะปู
- การแก้ไข โดย หล่อเม็ดพระศกมีแกนทำเป็นทอย หรือเลาะเม็ตผมตรงที่จะใช้ตะปูทำทอยแบบเดิม เสียบทอยก่อนหล่อ เมื่อหล่อแล้วถอนตะปูแล้วใช้สว่านเจาะขยายรูเพื่อตอกใส่เม็ดผม แต่วิธีการนี้จะยุ่งยาก และดูไม่ค่อยกลมกลืน สามารถใช้กับพระที่มีสีโลหะเดียวกันกับทอยได้ แต่หากเป็นพระปิดทอง หรือพระชุบกะไหล่ทองไม่เป็นปัญหาเพราะสามารถปิดทับให้กลมกลืนได้
ภาพ 3.21 ติดเม็ดพระศก แล้วนำเม็ดพระศึกตำแหน่งที่ต้องการติดทอยออก
ชนิดของทอย เนื่องจากทอยมีหน้าที่ค้ำยันใส้ในกับชั้นนอกของหุ่นให้มีสภาพคงเดิม ไม่โยกไม่คลอน หรือภาษาช่างว่าไม่ให้ใส้ล้ม ซึ่งจะเป็นสาเหตุทำให้งานขาดเสียหายเนื่องจากถ้าใส้ล้มแล้วจะเบียดช่องว่างที่เป็นเนื้องาน ทำให้ชิ้นงานเสียหาย ดังนั้นทอยจึงต้องแข็งแรง สามารถทนไฟ ทนอุณหภูมิได้มากกว่าอุณหภูมิเผาหุ่น ที่ปลอดภัยคือควรมีจุดหลอมไม่น้อยกว่า 900-950 องศา
- โบราณใช้ตะปูสังฆวานร เป็นตะปูเหล็กตีขึ้นรูป 4 เหลี่ยมปลายแหลม
- ปัจจุบันใช้ตะปูขนาดและความยาวตามขนาดพระ ถ้าพระบูชาใช้ขนาดตะปู 1-1.5 นิ้ว ยาว 1-1.5 นิ้ว
- พระขนาดใหญ่ขึ้นใช้เหล็กกลมประมาณ 2 หุน
- ลวดสแตนเลส ซึ่งมีคุณสมบัติทนความร้อนสูงและไม่เป็นสนิม แต่ต้นทุนสูง
อุณาโลม
- แกะบล็อกเหล็ก ปั้มโลหะเป็นชิ้นงาน แล้วฝังประดับพลอย ซึ่งการแกะบล็อกปั๊มจะมีต้นทุนสูง แต่งานปั้มมีต้นทุนต่ำและรวดเร็วกว่าวิธีหล่อ
- หรือทำเป็นแบบต้นฉบับ ติดช่อถอดแบบฉีดเทียนด้วยยางซิลิโคนใส หล่อด้วยระบบดูดสุญญากาศ สามารถใช้พลอย Swarovski หล่อฝังได้ สามารถทนความร้อนได้สูง เนื่องจากมีรายละเอียดที่เล็กมาก โลหะที่ใช้หล่อฝังต้องสามารถทนความร้อนได้ไม่ละลายก่อนหุ่นสุก เพื่อความปลอดภัยและความสวยงาม หรือจากหล่ออุณาโลมฝังพลอย
- ทำการชุบกะไหล่ แล้วนำมาเจาะติดพระนลาฏ จะดีสวยงามกว่าหล่อฝังในตัว เนื่องจากมีความเล็กและบาง และต้องการให้มีสีสันสวยงามด้วย
รูป 3.22 ฝังพลอยชิ้นงานอุณาโลม
- ชุบกะไหล่ทองหรือปิดทองเพื่อความสวยงาม แต่งานชุบกระไหล่ทองจะติดแน่นทนนานกว่างานปิดทองซึ่งหลุดร่อนง่ายกว่า
- ติดอุณาโลมตามตำแหน่งที่มาร์คไว้ ด้วยกาวEpoxy หรือรักสมุก
ดวงพระเนตร รายละเอียดตาพระพุทธชินราช
- ปั้นสดด้วย Epoxy เพื่อรักษารูปทรง
- หากตัดด้วยไฟล์ 3D ให้ทำเตปเปอร์เป็นเดือยสำหรับใส่ให้ตรงร่องเบ้า
- ถอดแบบฉีดเทียนด้วยยางซิลิโคนใส
- หล่อด้วยระบบดูดสุญญากาศ เนื่องจากมีรายละเอียดที่เล็กมาก
- ใช้หล่อฝังติดนัยตาพระ ใช้เสมือนทอย หรือสามารถเจียร์ปรับแต่งใส่ทีหลังได้ หล่อฝังมีประโยชน์สะดวก แต่มีปัญหาหากแต่งงานขี้ผึ้งไม่ดีก่อนหล่อ การขัดแต่งหลังขึ้นตอนการหล่อแล้ว อาจทำได้ยากเนื่องจากมีรายละเอียดที่เล็กมาก
รูป 3.23 ดวงพระเนตรหล่อโลหะ
เศียร มือ เท้า เป็นส่วนที่ใช้โลหะหล่อสีเดียวกัน
วิธีการโดย หล่อเศียรที่มีมือยาวติด ก่อนนำไปติดกับตัวเพื่อหล่อตัวสวม มีปัญหาคือ มีความยุ่งยากในการทำสลักเพิ่ม มีข้อดีคือ ต้นทุนต่ำ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ
- แต่งส่วนรอยต่อให้สามารถสวมกับส่วนเศียร ส่วนมือ ส่วนเท้า และส่วนฐานได้พอดี
- มือต้นแบบขยายด้านข้างรอยตัวประมาณ 3-4% โดยไม่ต้องขยายด้านยาว เพราะมือเป็นชิ้นงานตันเมื่อฉีด กรอก และหล่อแล้วจะมีความหดตัวด้านข้างมากกว่าด้านยาว ทำให้ดูนิ้วมือเรียวลีบ จึงต้องมีการขยายเพื่อชดเชยการหดตัว
- ถอดแบบพิมพ์ผ่าด้วยยางซิลิโคนขาว
- หล่อแบบโบราณด้วยวิธีการทำหุ่นแบบใส่กระบอก เนื่องจากเป็นรูปทรงที่สามารถใส่กระบอกได้
ภาพ 3.24 แยกชิ้นส่วนเศียรกับตัว
ภาพ 3.25 รอยต่อของชิ้นส่วนที่แยกชิ้น ยังมีความห่างไม่พอดี จากความหดตัวของงานปริ้น
ภาพ 3.26 การโป๊วขัดรอยต่อให้สนิทด้วยอีพ๊อกซี่ หรือยิบซั่ม
ภาพ 3.27 อะไหล่เท้า หล่อด้วยปูนหล่อจิวเวลรี่ ระบบหล่อสุญญากาศ
จีวร หรือส่วนองค์พระ
- แต่งส่วนรอยต่อให้สามารถสวมกับส่วนเศียร ส่วนมือ ส่วนเท้า และส่วนฐานได้พอดี
- ถอดแบบพิมพ์ผ่าด้วยยางซิลิโคนขาว
- หล่อแบบโบราณโดย
- ใช้เทคนิคงานหล่อแบบเซรามิกเชลจะได้งานมีความคมชัดแต่ใช้เวลาและต้นทุนสูง
- ใช้เทคนิคงานหล่อหุ่นปูน สะดวกรวดเร็ว ความคมชัดน้อยลง แต่สามารถขัดแต่งได้
- ใช้เทคนิคงานหล่อหุ่นดินไทย โดยดินในเป็นดินไทย ส่วนหุ้มนอกด้วยสูตรปูน หรือสูตรเซรามิกเชล
ภาพ 3.28 หล่อองค์ต้นแบบปูน เพื่อขัดผิวตึง
ฐาน
- ปั้นต้นแบบโครงสร้างด้วยขี้ผึ้ง
- ถอดแบบถ่ายปูน เพื่อขัดแต่งให้มีความเรียบร้อยคมชัด
- ติดลวดลายที่แกะต้นแบบจากขี้ผึ้ง หรือจากหินสบู่
- ถอดแบบด้วยยางซิลิโคนขาวแบบผ่า
- หล่อแบบโบราณโดยสามารถทำลักษณะเช่นเดียวกับส่วนองค์พระ
- ใช้เทคนิคงานหล่อแบบเซรามิกเชลจะได้งานมีความคมชัด แต่ใช้เวลา และต้นทุนสุง
- ใช้เทคนิคงานหล่อหุ่นปูน สะดวกรวดเร็ว ความคมชัดน้อยลง แต่สามารถขัดแต่งได้
- ใช้เทคนิคงานหล่อหุ่นดินไทย โดยดินในเป็นดินไทย ส่วนหุ้มนอกด้วยสูตรปูน หรือสูตรเซรามิกเชล
ภาพ 3.29 อบต้นแบบปูนให้แห้งที่อุณหภูมิ 60 องศา C เวลา 6-8 ชั่วโมง
เพื่อให้ปูนแห้ง สามารถใช้กระดาษทรายขัดได้ ขณะขัดจะเป็นผงฝุ่นไม่ติดกระดาษทราย สามารถโป๊วอุดด้วยยิปซั่มได้ดี
สูตรผสมยิปซั่ม
สัดส่วนยิปซั่ม + น้ำ ให้มีความเหนียวหนึบ ประมาณเดียวกับการผสมสีโป๊วฝ้ายิปซั่ม
หากต้องการให้มีความแข็งและสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น ใช้ยิปซั่ม + ปูนปลาสเตอร์+ ดินสอพอง
โดย
- ยิปซั่มมีความละเอียด แต่แห้งช้า
- ปูนปลาสเตอร์ช่วยให้แห้งเร็ว แต่มีความแข็ง
- ดินสอพองช่วยให้ส่วนผสมมีเนื้อแน่นและขัดง่ายขึ้น
ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 25 องศา อากาศไม่ร้อน ประมาณ 3-7 วัน
อบที่อุณหภูมิ 40-50 องศา ใช้เวลา 12-24 ขั่วโมง
อบที่อุณหภูมิ 50-60 ใช้เวลา 6-8 ชั่วโมง
อบที่อุณหภูมิ 60-70 ใช้เวลา 4-6 ชั่วโมง
ถ้ามากกว่านี้มีความเสี่ยงทำให้ชิ้นงานเกิดความเสียหาย เนื่องจากน้ำในแบบปูนจะคลายตัวระเหยเร็วขึ้น และหากหลงลืมทิ้งไว้นานเกิน ต้นแบบจะแห้งกรอบเกิดการแตกหักเสียหาย
ซุ้มเรือนแก้ว
- ส่วนยอดย่อแบบจากต้นฉบับซึ่งแกะแบบด้วยไม้
- ส่วนยอด ทำการถ่ายปูน แต่งแบบให้คมขัดขึ้น แยกทำพิมพ์ผ่าประกบด้วยยางซิลิโคนขาว สำหรับกรอกขึ้ผึ้งสูตรร้อน (80/20 หรือ 80/10)
- รักษาแนวดิ่งให้ได้ตรงกลาง
- ประกอบองค์ให้รักษาระยะช่องไฟรอบองค์พระให้เท่าๆ กัน เพื่อความสวยงามให้มีความห่างจากองค์ประมาณ 2 มิลลิเมตร เพื่อชดเชยการหดตัว
- ระดับยอดเขาควายจะตรงแนวฐานโมลี(จุไรธาตุ)
- ส่วนมกรปั้นแบบใหม่ด้วยขี้ผึ้ง
- ส่วนมกร แยกทำพิมพ์ฉีดเทียนผ่าประกบด้วยยางซิลิโคนขาว เพื่อความคมชัด และความแข็งแรงของแบบเทียนสำหรับหล่อ
- หล่อแบบโบราณด้วยวิธีการทำหุ่นแบบใส่กระบอก เนื่องจากเป็นรูปทรงที่สามารถใส่กระบอกได้
- ระดับยอดหงอนของมกรจะตรงแนวยอดพระถันขององค์พระ
- แนวริมตัวมกรจะอยู่ในกรอบพื้นที่หน้าตัก ไม่เกินเข่า
ภาพ 3.30 แยกชิ้นส่วนยอดซุ้มเรือนแก้ว
ข้อดีของการหล่อแยกชิ้นส่วนยอดกับชิ้นส่วนมกร
- ชิ้นส่วนทุกชิ้นมีความสมบูรณ์ ลดการดูดหดตัวของชิ้นงาน เนื่องจากชิ้นงานมีความหนา
- ลดความพรุน การมีรอยร้าว รอยแตกหัก
- ลดขนาดของหุ่น สามารถเพิ่มปริมาณงานหล่อได้
- ลดความเสียหายของชิ้นงาน สามารถแยกทำแยกหล่อได้ มีความสะดวก
- ลดเวลาการแต่งรอยต่อบริเวณกลางตัวเรือนมกร
- ลดความแข็งของโลหะเนื่องจากไม่มีแนวเชื่อมแข็งกลางตัวเรือนมกร สามารถเคาะดัดปรับแต่งซุ้มได้ง่าย
ข้อสังเกตุ ส่วนของขามกรถึงปลายหงอน มีความสูง เท่ากับส่วนเขาควาย เท่ากับส่วนของใบยอดซุ้มเรือนแก้ว
ท้าวอาฬวกยักษ์, ท้าวเวชสุวรรณ
- ปั้นสดด้วยขี้ผึ้ง
- หล่อต้นแบบด้วยระบบดูดสุญญากาศ เพื่อความคมชัด ไม่ฝ่อ
- ถอดพิมพ์ผ่าด้วยยางซิลิโคนใส่
- หล่อโลหะด้วยระบบหล่อดูดสุญญากาศ
ภาพ 3.31 ต้นแบบท้าวเวชสุวรรณ และต้นแบบท้าวอาฬวกยักษ์ ปั้นด้วยขี้ผึ้ง
ภาพ 3.32 ถอดพิมพ์แบบด้วยยางซิลิโคนขาว
ภาพ 3.33 หล่อต้นแบบด้วยระบบหล่อดูดสุญญากาศ
งานหล่อตันมีการดูดและรูพรุนเป็นโพรง แก้ไขปัญหาโดยการเติมทุ่นเพื่อชดเชยการเสียหาย หรือฉีดเทียนให้บางก่อน แล้วกรอกขี้ผึ้งอุ่นเพื่อเพิ่มความหนาของชิ้นงาน โดยทำรูเทขี้ผึ้งออกให้ใหญ่ขึ้น เพื่อความสะดวกในการทำงาน
ระบบหล่อโบราณสามารถหล่อกลวงได้โดยการกรอกขี้ผึ้งบาง แต่การเก็บรายละเอียดให้คมขัดมีข้อจำกัด และเสียเวลาในการทำงานมากกว่า
- ซุ้มเรือนแก้ว นมอกเลา เครื่องหมายตราต่างๆ
- ปั้นแกะต้นแบบด้วยขี้ผึ้ง
- สามารถติดที่ฐานหล่อพร้อมฐาน หรือหล่อแยกได้ด้วยวิธีการหล่อแบบติดช่อลงกระบอกได้ ตามสะดวก
การย่อขยาย หาสัดส่วนทอง